MASERATI
ย้อนรอยประวัติศาสตร์ MASERATI
ตระกูล MASERATI มีจุดเริ่มต้นที่แถบชานเมือง VOGHERA อยู่ในเขต PAVIA ซึ่ง RODOLFO MASERATI เข้าทำงานเป็นคนขับหัวรถจักรของการรถไฟแห่งอิตาลี (LTALIAN STATO RAILWAYS) ภรรยาของ RODOLFO ได้ให้กำเนิดบุตรชายทั้งหมด 7 คน โดยเริ่มจากพี่ชายคนโต CARIO ซึ่งเกิดในปี ค.ศ.1880 ตามมาด้วย BINDO ที่เกิดในปี ค.ศ.1883 และ ALFIERI ในปี ค.ศ. 1887 (ซึ่งต่อมา ALFIERI ผู้เข้มแข็งที่สุดในกลุ่มพี่น้อง MASERATI จะกลายเป็นผู้สร้างตำนานของรถแข่งแห่งอิตาลี) MARIO ค.ศ. 1890 และ ETTORE ปี ค.ศ. 1894 กับน้องเล็กคนสุดท้อง ERNESTO ซึ่งเกิดเป็นคนสุดท้ายในปี ค.ศ. 1898 มีเพียง MARIO เพียงคนเดียวที่ไม่สนใจทางด้านเครื่องยนต์กลไก ส่วนพี่ชายคนโต CARIO ซึ่งบ่อยครั้งตามพ่อไปนั่งบนหัวรถจักรและผู้เป็นพ่อได้พยายามอธิบายการทำงานของเครื่องจักรไอน้ำบนหัวรถจักรและชอบพาลูกๆ ไปที่อู่ซ่อมรถตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก
CARIO ซึมซับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไกจากการจดจำในวัยเด็กและการสนับสนุนจากผู้เป็นพ่อ ต่อมา เด็กน้อย CARIO สามารถประกอบเครื่องยนต์แบบกระบอกสูบเดี่ยวได้เป็นผลสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย CARIO มักชอบเข้าไปคลุกคลีตีโมงอยู่กับพวกช่างเครื่องในโรงซ่อมรถเล็กๆ นอกเมือง MILAN อาศัยมันสมองที่ปราดเปรื่องและการจดจำที่ดีเยี่ยม CARIO จึงมีความสามารถในการปรับแต่งเครื่องยนต์กลไกของรถมอเตอร์ไซค์ แล้วนำไปลงแข่งจนได้รับชัยชนะหลายต่อหลายครั้ง ในช่วงวัยรุ่นของ CARIO โลกอยู่ในยุคเริ่มต้นของการคิดค้นเครื่องยนต์สันดาปโดยใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ในยุคนั้นยังขาดแคลนช่างและวิศวกรที่มีความรู้ความสามารถ บริษัทรถยนต์ทั้งหลายจึงต้องการคนที่มีความรู้ความชำนาญในการประกอบเครื่องยนต์และออกแบบรถยนต์ หลังจาก CARIO ได้รับการอุปการะจากขุนนางของแคว้นที่มีชื่อว่า MARQUIS MICHELE CARCANO โดยส่งเข้าไปเรียนรู้ฝึกงานและทำงานกับสำนักแข่งรถเล็กๆ
ต่อมาในปี ค.ศ. 1901 บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของอิตาลียี่ห้อ FIAT ได้ตกลงว่าจ้าง CARIO MASERATI ให้เข้าร่วมทำงาน ตามด้วยสำนักรถแข่งชื่อดัง ISOTTA FRASCHINI ในปี ค.ศ. 1903 บริษัท BIANCHI ในปี ค.ศ. 1907 และที่สุดท้ายที่ CARIO เข้าร่วมงานก็คือ บริษัท JUNIOR ซึ่งประกอบเครื่องยนต์รถแข่งเพื่อส่งเครื่องให้กับทีมแข่ง ในเมืองแห่งความหลงใหลเครื่องยนต์กลไกและความเร็ว ไม่ได้มีแต่เพียงแค่ CARIO ผู้เป็นพี่ชายคนโตของตระกูลเท่านั้น ยังมีน้องชายคนรองของตระกูลชื่อ ALFIERI และ BINDO รวมทั้ง ETTORE ที่มีความชอบเหมือนกับพี่ชาย แต่น้องชายที่ CARIO มองเห็นแววอัจฉริยะในตัวมากที่สุดก็คือ ALFIERI CARIO จึงฝากน้องเข้าทำงานโดยรับตำแหน่งเป็นช่างเครื่องยนต์ของบริษัทรถแข่ง ISOTTA เนื่องจากมองเห็นอนาคตว่ารถยนต์จะเป็นส่วนประกอบสำคัญของการเดินทางในอิตาลี การสนับสนุนน้องของตนเองอย่างเต็มที่เพื่ออนาคตที่ดีจึงได้เริ่มต้นขึ้น ณ จุดนั้น ที่โรงงานของ ISOTTA FRASCHINI นี่เองที่ ALFIERI MASERATI ได้รับความรู้ความเข้าใจจากการประกอบเครื่องยนต์รถแข่งและการออกแบบเครื่องยนต์ ตลอดจนทำหน้าที่เป็นนักขับทดสอบของบริษัทอีกด้วย
อุบัติเหตุระหว่างการทดสอบรถยนต์ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1910 ได้คร่าชีวิตพี่ชายผู้แสนดีของตระกูล MASERATI ทำให้ CARIO จากโลกนี้ไปอย่างกะทันหันขณะทำในสิ่งที่ตนเองรัก ทั้งๆ ที่กำลังจะเจริญก้าวหน้าทางด้านการแข่งขันรถยนต์ในอิตาลี การจากไปของพี่ชายนำมาซึ่งความสะเทือนใจเป็นอย่างมากให้กับพี่น้องในตระกูล MASERATI และเพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ของพี่ชาย ALFIERI MASERATI จึงชักชวน BINDO MASERATI และ ETTORE MASERATI ให้มาร่วมกันทำงานในโรงงานของ ISOTTA FRASCHINI เพื่อเรียนรู้การออกแบบและประกอบเครื่องยนต์ของรถแข่ง ALFIERI ได้แสดงอัจฉริยภาพทางด้านเครื่องยนต์ (TECHNICIAN) โดยทำหน้าที่ทั้งออกแบบและประกอบเครื่องยนต์ รวมถึงขับรถแข่งของบริษัทเพื่อทดสอบประสิทธิภาพ และลงทำการแข่งขันด้วยตัวเองเกือบจะทุกรายการโดยมีพี่น้องทั้งสอง คือ BINDO และ ETTORE คอยให้ความช่วยเหลือจน ALFIERI สามารถคว้าชัยชนะได้หลายสนาม สร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริหารของ ISOTTA เป็นอย่างมาก
เวลาเดินมาถึงปี ค.ศ. 1912 ทางผู้บริหารของ ISOTTA ได้ส่งสามพี่น้องของตระกูล MASERATI ไปยังเมือง BOLOGNA เพื่อเปิดสาขาใหม่ของบริษัทและคอยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่มีถิ่นพำนักในเมืองใกล้เคียง ใน BOLOGNA นี่เองที่ทำให้ความคิดในการก่อตั้งโรงงานประกอบรถและเครื่องยนต์รถแข่งของพี่ชายที่ล่วงลับผุดขึ้นมาในความคิดของ ALFIERI หลังจากนั้นไม่นานนัก ความคิดที่จะสานต่อความต้องการของพี่ชายคนโต CARIO ก็กลายเป็นความจริงขึ้นมา
ในช่วงฤดูหนาวของวันที่ 14 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1914 บริเวณห้องแถวเล็กๆ สองห้องชั้นล่างของอาคาร VIA DE’ PEPOLI ป้ายบริษัทที่มีชื่อว่า SOCIETA ANONIMA OFFICINE ALFIERI MASERATI ก็ได้ถูกยกขึ้นติดตั้งขึ้นที่ด้านหน้าของอาคาร ท่ามกลางความยินดีของคนในตระกูล MASERATI และนี่คือจุดเริ่มต้นของตำนานรถแข่งของอิตาลี ALFIERI พี่น้องในตระกูล MASERATI ตกลงกันว่าจะใช้ตราสามง่ามหรือตรีสูรย์ ซึ่งเป็นอาวุธของเทพเจ้า NEPTUNE และยังเป็นตราประจำตระกูลของขุนนาง JEAN DE BOULOGNE แห่ง PIAZZA DEL NETTUNO ใน BOLOGNA ซึ่งคอยให้การสนับสนุนทางการเงินแต่คนในตระกูล MASERATI ในการแข่งขันรถยนต์ตลอดมา ตราดังกล่าวถูกนำมาติดตั้งไว้บนรถยนต์ที่ MASERATI ผลิตและออกขายในอิตาลีเป็นครั้งแรก นั่นก็คือที่มาของรถ MASERATI TIPO 26
MASERATI TIPO 26 มีเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร 1,500 ซีซี และติดตั้งระบบอัดอากาศด้วยตัวอัดอากาศแบบซุปเปอร์ชาร์จ ให้กำลัง 120 แรงม้า รถคันแรกของค่ายสามง่าม MASERATI TIPO 26 มีน้ำหนักเพียงแค่ 760 กิโลกรัม แต่ TIPO 26 ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากผู้คนในอิตาลีล้วนสนใจแต่รถแข่งที่ทางโรงงานของ MASERATI ส่งเข้าทำการแข่งขันทั้งในอิตาลีเองและทั่วทั้งทวีปยุโรป รถแข่งที่ถูกสร้างขึ้นโดย MASERATI ได้รับชัยชนะแทบทุกสนามที่ลงแข่ง สำหรับงานประกอบรถยนต์ในโรงงานประกอบรถแข่งของ MASERATI มีช่างเครื่องชั้นหัวกะทิของอิตาลีจำนวน 5 คนทำงานอยู่ จากการควบคุมดูแลของ BINDO และ ETTORE ตลอดจนความสำเร็จอย่างท่วมท้นจากการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ ทำให้โรงงานเดิมซึ่งเป็นห้องแถวเล็กๆ เริ่มจะคับแคบ พวก MASERATI จึงย้ายโรงงานมาตั้งขึ้นใหม่ในเมือง PONTE VECCHIO บริเวณนอกชานเมือง BOLOGNA และยังคงสร้างเครื่องยนต์รถแข่งให้กับบริษัท ISOTTA FRASCHINI เจ้านายเก่าผู้มีบุญคุณกับทั้งสามพี่น้อง MASERATI ตลอดมา
ฤดูร้อนปี ค.ศ. 1929 ALFIERI MASERATI ได้ผลิตเครื่องยนต์รถแข่งแบบ V16 สูบ โดยมีลูกสูบทำมุม 25 องศา และมีความจุ 3,961 ซีซี เครื่องยนต์สามารถให้กำลังได้มากถึง 280 แรงม้า สามารถทำความเร็วต่อเนื่องได้ถึง 246 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่อง V16 มีประสิทธิภาพดีและมีความเหนียวแน่นทนทานซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากในเครื่องยนต์ของรถแข่ง มันถูกทดสอบอย่างหนักเป็นเวลานานตามด้วยการวิ่งอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่เกิดปัญหากับเครื่องยนต์แต่อย่างใดทั้งสิ้น
ชะตากรรมในยุคแรกๆ ของ MASERATI มักเกิดเรื่องที่เศร้าสลดอยู่เสมอ วันที่ 3 มีนาคม 1932 ALFIERI ก็เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันด้วยวัยเพียง 44 ปี นับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่ยากจะลืมเลือนของคนในตระกูล MASERATI หลังจากสูญเสียพี่ชายคนโตของตระกูลไป ALFIERI ผู้ซึ่งก่อตั้งบริษัทนั้นเป็นช่างเครื่องยนต์ที่เก่งกาจและเป็นวิศวกรนักออกแบบเครื่องยนต์รถแข่ง รวมถึงยังเป็นนักขับรถแข่งที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดียิ่ง การจากไปในครั้งนั้นทำให้คงเหลือเพียงแค่ BINDO และ ETTORE กับ ERNESTO คอยพยุงความเกรียงไกรของบริษัทให้คงอยู่ตลอดไป
ปี ค.ศ. 1934 ทางค่ายรถแข่งตราสวัสดิกะ AUTO UNION MERCEDES BENZ ได้เปิดตัวขึ้นและส่งรถแข่งเข้าทำการแข่งขัน โดยมี ADORF HITLER ให้การสนับสนุนทางการเงินอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่สามารถโค่นรถแข่งจากบริษัท MASERATI ลงได้ รถแข่งจากเยอรมนีและอิตาลีผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะจนทำให้ชื่อเสียงของรถ MASERATI ได้รับการยอมรับไปทั่วทั้งยุโรป
เมืองโมเดนา ประเทศอิตาลี บริษัท MASERATI เผยโฉมรูปทรงอันงดงามของเอสยูวีสายพันธุ์ล่าสุด รุ่น LEVANTE ยานอเนกประสงค์รุ่นแรกภายใต้แบรนด์ MASERATI ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 1 ศตวรรษ LEVANTE เป็นรถรุ่นใหม่ที่มีความสมบูรณ์แบบโดยแยกประเภทออกมาจากรถเก๋งซาลูนและบรรดารถสปอร์ตของแบรนด์สามง่าม แต่ยังคงนำเสนอควบคู่ไปด้วยกันกับรุ่น ควอทโตรปอร์เต (Quattroporte), กิบลี (Ghibli), กรันทัวริสโม (GranTurismo) และ กรัน คาร์บริโอ (Gran Cabrio)
การออกแบบของ LEVANTE ยังคงเต็มไปด้วยมนต์ขลังอันเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นมาช้านานของ MASERATI ที่มีบุคลิกในสไตล์อิตาเลียน ด้านหน้าได้รับการออกแบบใหม่ให้ความรู้สึกถึงความก้าวร้าว ดุดัน ไฟหน้าทรงเรียวงามถูกแยกออกเป็น 2 ส่วนอย่างชัดเจนโดย ส่วนบนของโคมไฟใหญ่จะเชื่อมโยงเข้ากับกระจังขนาดใหญ่ ที่ด้านหน้าด้านข้างยังคงเน้นเส้นสายที่เรียบง่ายชัดเจนซึ่งเป็นจุดเด่นและเอกลักษณ์ของ MASERATI หลากหลายรุ่น มีแนวช่องอากาศแบบ 3 แถบติดตั้งอยู่บริเวณบังโคลนด้านหน้า โลโก้ “SAETTA” อยู่บริเวณเสาซี
เอสยูวีรุ่นใหม่จาก MASERATI มีการนำเทคโนโลยีและอุปกรณ์ต่างๆในระดับสูงมาบรรจุไว้เป็นมาตรฐานของรถรุ่นนี้ระบบรองรับควบคุมการทำงานของโช้คอัพด้วยไฟฟ้า มาพร้อมแอร์สปริงที่สามารถปรับได้หลายระดับ “Q4” คือระบบ ออล-วีล-ไดรว์ (All-wheeldrive) อันชาญฉลาด มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ที่ได้รับการปรับเซตมาเป็นพิเศษสำหรับเอสยูวีรุ่นนี้โดยเฉพาะ ขุมกำลังของ LEVANTE มีให้เลือกใช้ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล ที่ผ่านมาตรฐานการควบคุมในระดับ EURO 6 MASERATI LEVANTE ทำการผลิตที่โรงงานมิราฟิโอริ (Mirafiori) ในเมืองตูริน (Turin) สำหรับรถ LEVANTE คันแรกได้ผ่านสายการผลิตออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีแผนที่จะเปิดตัวในแถบยุโรปช่วงฤดูใบไม้ผลิ ส่วนในประเทศอื่นๆ จะทำการเปิดตัวให้เสร็จสมบูรณ์ภายในปีนี้
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ photo credit www.grandprix.co.th
Comments